แพทยสภา ฟัน 3 แพทย์ กรณีรักษา ‘ทักษิณ’ ผิดจริยธรรมวิชาชีพ

เมื่อวันที่ 8 พ.ค.2568 ที่อาคารมหิตลาธิเบศร ภายในกระทรวงสาธารณสุข คณะกรรมการแพทยสภา แถลงข่าว กรณีการตรวจสอบจริยธรรมทางวิชาชีพเวชกรรม ของแพทย์โรงพยาบาลราชทัณฑ์ และแพทย์โรงพยาบาลตำรวจ กรณีการพักรักษาตัวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ

ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา อุปนายกแพทยสภาคนที่ 1 กล่าวว่า ในวันนี้ (8 พฤษภาคม 2568) ได้มีการประชุมคณะกรรมการแพทยสภา ครั้งที่ 5/2568 ประจำเดือนพฤษภาคม มีวาระสำคัญ คือ การพิจารณาคดีจริยธรรมของแพทย์ที่เป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของประชาชน ในกรณีที่มีการกล่าวโทษแพทย์ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจ ผิดจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม

3 แพทย์ผิดจริยธรรม ปมรักษาทักษิณ

ที่ประชุมคณะกรรมการแพทยสภาได้มีมติลงโทษแพทย์ 3 ท่าน โดยเป็นการว่ากล่าวตักเตือน 1 ท่าน ในกรณีประกอบวิชาชีพเวชกรรมไม่ได้มาตรฐาน และพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม 2 ท่าน ในกรณีให้ข้อมูลหรือเอกสารทางการแพทย์อันไม่ตรงกับความเป็นจริง

ทั้งนี้แพทยสภา มีหน้าที่ต้องเสนอมติต่อสภานายกพิเศษ (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข) เพื่อขอความเห็นชอบก่อนจะดำเนินการตามมติ ซึ่งเป็นขั้นตอนตามพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 ต่อไปวันที่ 8 พฤษภาคม 2568

ไร้หลักฐานเชิงประจักษ์มีภาวะวิกฤติ

ผู้สื่อข่าวถามว่าสาเหตุที่ตัดสินเช่นนี้เพราะอะไร ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า สำหรับท่านที่ว่ากล่าวตักเตือนเป็นความผิดที่ไม่ได้รุนแรงเนื่องจากเกี่ยวกับเรื่องการออกใบส่งตัว ส่วนอีกสองท่านเป็นเรื่องการให้ข้อมูลเอกสารทางการแพทย์ที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง

ถามถึงกรณีการให้ข้อมูลไม่ตรงกับความเป็นจริงหมายถึงอะไร ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า ขณะนี้ข้อมูลที่ได้รับไม่ได้มีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ชัดเจนว่า มีภาวะวิกฤตเกิดขึ้น

ถามต่อว่าสรุปคือไม่ป่วยจริงใช่หรือไม่ ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า ตนบอกได้แค่ว่าด้วยข้อมูลหลักฐานทั้งหลายที่เราได้รับไม่ได้มีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ชัดเจนว่า มีภาวะวิกฤตเกิดขึ้นตามที่มีการแถลงข่าว อยู่ที่การตีความ ดังนั้น วันนี้ที่เราไม่สามารถบอกว่าต้องพักใช้ใบอนุญาตนานเท่าไหร่ เพราะการจะพักใช้นานเท่าไหร่อยู่ที่ความเห็นชอบของสภานายก หากเราให้ข้อมูลไปก่อนแล้วไม่ตรงกัน หรือมีความเห็นอย่างอื่น เพราะฉะนั้น ต้องรอให้จบทุกขั้นตอนจึงจะบอกได้ว่าต้องพักใช้ใบประอบวิชาขีพนานเท่าไหร่

คนผิดเป็นแพทย์เฉพาะทาง-แพทย์ออร์โธปิดิกส์

เมื่อถามถึงรายละเอียดเอกสารที่ไม่สอดคล้องกับอาการป่วยข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า เอกสารที่เราได้รับซึ่งไม่ใช่ทั้งหมดแต่เท่าที่ได้รับมา มันเป็นแบบนั้น

เมื่อถามว่าเนื่องจากสังคมจับตาการทำงานของแพทยสภา มติที่ออกมาในวันนี้คิดว่าจะเรียกความเชื่อมั่น ศรัทธา เกียรติยศ และศักดิ์ศรีกลับคืนหรือไม่ ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า แพทยสภายึดความถูกต้อง ยึดหลักฐานต่างๆ เราไม่ได้สนใจปัจจัยภายนอก เราไม่ได้สนใจว่าแพทย์ท่านนี้คือใคร เราไม่ได้อิงปัจจัยภายนอก ไม่อย่างนั้น จะเกิดเป็นประเด็น ดังนั้น จากข้อมูลที่มีแบบนี้จึงสรุปออกมาแบบนี้ และขอให้รู้ว่าพรบ.ประกอบวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 มีมติอย่างไรยังไม่สิ้นสุด คำสั่งยังออกไม่ได้จนกว่ารัฐมนตรี สธ.จะเห็นชอบ สรุปคือคำสั่งยังออกไม่ได้จนกว่ารัฐมนตรีจะเห็นชอบ

ถามว่าแพทย์ด้านไหนที่เข้าข่ายความผิดนี้ ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า เป็นแพทย์เฉพาะทางและออร์โธปิดิกส์

มติดังกล่าวเป็นเอกฉันท์หรือไม่ ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า มติที่ออกมาเป็นเสียงส่วนใหญ่มากๆๆ

‘สมศักดิ์’ต้องพิจารณาใน 15 วัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากที่คณะกรรมการแพทยสภามีมติแล้ว จะนำเข้าที่ประชุมสภานายกพิเศษ ที่มีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข เป็นนายกสภาพิเศษ ภายในระยะเวลา 15 วัน เพื่อพิจารณาว่าจะมีความเห็นตามมติคณะกรรมการแพทยสภา หรือมีความเห็นแย้งหรือไม่

หากมีความเห็นตามมติที่ประชุมก็ลงนามรับรอง แต่หากมีความเห็นแย้งก็ส่งกลับเข้าที่ประชุมคณะกรรมการแพทยสภาอีกครั้งเพื่อพิจารณา ซึ่งหากที่ประชุมคณะกรรมการแพทยสภาเห็นว่าคำแย้งฟังไม่ขึ้นก็สามารถลงมติยืนยันตามมติเดิมได้ โดยใช้เสียง 2 ใน 3 หรือหากเห็นว่าคำแย้งมีเหตุผลสามารถฟังขึ้นก็จะมีการสืบสวน สอบสวนเพิ่มเติมต่อไป โดยใช้เสียง 1 ใน 3

อนึ่ง คณะกรรมการแพทยสภาวาระ พ.ศ.2568 – 2570 จำนวน 71 คน มี รมว.สาธารณสุข เป็นสภานายกพิเศษ แยกเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง ประกอบด้วยคณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยต่างๆ กระทรวงสาธารณสุข และผู้แทนนายแพทย์ใหญ่ รพ.สี่เหล่าทัพ คือ เจ้ากรมแพทย์ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ และตำรวจ จำนวน 35 คน และกรรมการจากการเลือกตั้ง 35 คน

พิสูจน์อักษร….สุรีย์ ศิลาวงษ์


ขอบคุณเนื้อหาจาก กรุงเทพธุรกิจ https://www.bangkokbiznews.com/health/public-health/1179451