แม้อาจขัดใจบางแฟนบอลที่ "ไม่อิน" กับคิวทีมชาติอยู่สักหน่อย แต่เบรคทีมชาติงวดนี้ก็ถือว่าสำคัญยิ่ง เมื่อคงจะมีชาติบางรายที่ยืนยันการได้ตั๋วเข้ารอบสุดท้าย ยูโร 2024 ในเดือนนี้ และ/หรือ ฝั่งอเมริกาใต้ ที่รอบคัดเลือก ฟุตบอลโลก 2026 เคลื่อนมาถึงเกมที่ 3 กับ 4
และก่อนจะปรับโหมดสู่บอลทีมชาติ ก็ลองมองย้อนกันหน่อย กับสถานการณ์ที่เป็นไปของทั้ง พรีเมียร์ลีก และบรรดาลีกแถวหน้าของยุโรป ซึ่งเข้าสู่เดือนที่ 3 ของฤดูกาลใหม่ไปทั้งหมดแล้ว
ดุเดือดเลือดพล่านและมีประเด็นให้พูดถึงในทุกสัปดาห์ โดยสำหรับวีคล่าสุก่อนเบรคทีมชาติ แม้เรื่องวุ่นของ VAR เจ้าปัญหาจะสร่างซาลงไปแล้ว แต่หลายเรื่องก็เป็นที่ถกเถียงกันในวงกว้าง
ความเปลี่ยนแปลงสำคัญคือ อาร์เซน่อล สามารถปลดแอกกำราบ "โบกี้ทีม" อย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ลงได้แล้ว ภายหลังผูกปีแพ้เรือใบมาอย่างยาวนานถึง 6 ปีซ้อน 12 เกมติดต่อกันใน พรีเมียร์ลีก — แม้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า จะอ้างว่าทีมของเขาแพ้อย่างโชคร้าย ด้วยเพราะลูกยิงแฉลบเท่านั้นก็ตาม
ชัดเจนว่า อาร์เซน่อล ลงตัวมากขึ้นเรื่อยๆ ในทุกสัดส่วน ด้วย 8 นัดผ่านไปยังคงไร้พ่าย และเวลาเดียวกัน แชมป์เก่าอย่าง แมนฯ ซิตี้ ก็หลุดแพ้แล้วถึง 2 นัด และยังเป็นการแพ้ 2 เกมซ้อนด้วย คือ 1-2 วูล์ฟแฮมป์ตัน และ 0-1 อาร์เซน่อล
จึงน่าจับตาอย่างยิ่งว่า แมนฯ ซิตี้ จะฮึดขึ้นอย่างไรกับคิวถัดๆ ไปที่รออยู่ ซึ่ง 5-6 เกมถัดไปก็เป็น "คิวโหด" ของทัพเรือเสียด้วย อย่างการต้องเจอกับ ไบรท์ตัน, แมนฯ ยูไนเต็ด, บอร์นมัธ, เชลซี, ลิเวอร์พูล และ สเปอร์ส ตามลำดับ
สำหรับ สเปอร์ส ก็เป็นอีกทีมที่ "ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ" โดยไม่มีใครคิดถึง แฮร์รี่ เคน อีกต่อไปแล้ว เมื่อ อันเก้ ปอสเตโคกลู สร้างความต่อเนื่องได้ด้วยการชนะถึง 6 จาก 8 เกมแรก ส่วนอีก 2 เกมที่แต้มหลุด ก็เป็นผลเสมอเท่านั้น ไม่ถึงแพ้
ใช่ที่ชัยชนะ 3 เกมหลัง สเปอร์ส ล้วนแต่ "ออกเฉือน" ทั้งหมด – 2-1 เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด, 2-1 ลิเวอร์พูล, 1-0 ลูตัน ทาวน์ ที่หมายความถึงแต่ละเกมไม่ใช่ง่าย แต่ชนะก็คือชนะ และยังไม่ถึงเวลาจะพูดถึงกันว่า สเปอร์ส จะแผ่วลงตอนไหนเมื่อไหร่
ฝั่งท้ายตาราง เอฟเวอร์ตัน เริ่มมือขึ้น ชนะ 2 จาก 3 เกมหลัง จนขยับขึ้นอันดับ 16 แต่สำหรับ 3 น้องใหม่ เบิร์นลี่ย์, เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด และ ลูตัน ทาวน์ จัดว่า "น่าเป็นห่วง" ด้วยคุณภาพโดยรวมซึ่งยังดู "มือไม่ถึง" คลาสพรีเมียร์ลีก
ทำนายไว้เนิ่นๆ ณ ตรงนี้ว่า ทั้ง 3 มีโอกาสกอดคอร่วงตกชั้นกลับลงไป
ส่วนจะถูกต้องไหม อีก 6-7 เดือนมาดูกันอีกที
แรงดีไม่มีตก คุ้มค่ายิงกว่าแฟลตปลาทอง คือนิยามของ จู๊ด เบลลิงแฮม ที่ก็ยังคงเป็นดาวเด่นของ เรอัล มาดริด 2023/24 อยู่นั่นเอง เมื่อมิดฟิลด์วัย 20 กดแล้วถึง 8 ประตูในลีก และ 10 ลูกจาก 10 เกมที่เล่นให้ทีมชุดขาวในทุกรายการ
ฟอร์มกระฉูดของ เบลลิงแฮม เมื่อบวกกับความแข็งแกร่งที่มีอยู่เดิมของ เรอัล มาดริด แล้ว ก็ทำให้พวกเขายกเพดานบินขึ้นไปสู่ตำแหน่งจ่าฝูง ลา ลีกา เรียบร้อย โดยเฉพาะจากชัยชนะเหนือ "ช้างที่อยู่บนยอดไม้" คิโรน่า 3-0 เมื่อสิ้นเดือน ก.ย. ที่ยังตามมาด้วยการถลุง โอซาซูน่า 4-0 ก่อนเบรคทีมชาติ
ก็นั่นแหละ คิโรน่า เมื่อเจอของแข็งเข้าหน่อยก็ไปไม่เป็น จึงน่าเป็นห่วงในระยะยาวว่าเมื่อต้องเจอเกมแบบนี้มากเข้า อันดับของพวกเขาจะหลุดลงๆ ไปเรื่อยๆ
ฝั่ง บาร์เซโลน่า ติดเสมอมากไปนิด ออกเจ๊าแล้ว 3 จาก 9 เกมแรก ซึ่งหมายถึงบางอย่างยังไม่เข้าที่เข้าทาง เพียงแต่ บาร์ซ่า ก็เป็นทีมเดียวที่ไร้พ่ายในลีกกระทิงจนถึงตอนนี้ และแต้มตามหลัง เรอัล มาดริด อยู่แค่ 3 คะแนนเท่านั้น
ชัดเจนว่าแชมป์เก่า นาโปลี หลุดจากมาตรฐานทีมแชมป์ไปเยอะ เมื่อเจอการเปลี่ยนแปลงสำคัญอย่างตัวกุนซือ จาก ลูชาโน่ สปัลเล็ตติ เป็น รูดี้ การ์เซีย อดีตนายใหญ่โรม่า จนชนะได้แค่ 4 จาก 8 เกมแรก
การถดถอยของ นาโปลี เช่นเดียวกับ "หลุดเยอะ" ของทั้ง ลาซิโอ – โรม่า ก็ทำให้ดูเหมือนว่า การแข่งขันซีซั่นนี้ได้กลับมาเป็นของ "สองทีมมิลาน" อย่าง เอซี – อินเตอร์ อีกครั้ง
ประเด็นสำคัญสุดอยู่ที่ช่วงก่อนพักเบรคทีมชาตินี่พอดี กับสิ่งที่เกิดขึ้นตอนท้ายเกม เจนัว vs เอซี มิลาน
3 แต้มสุดระทึก และความพิเศษใส่ไข่ของ ชิรูด์ ช่วยให้ มิลาน ก้าวขึ้นไปเป็นจ่าฝูงลีกเลี่ยน แซงหน้า อินเตอร์ มิลาน ขึ้นไป 2 แต้ม เมื่อทีมงูใหญ่แพ้ 1 เสมอ 1 ในระยะสามเกมหลัง
สำหรับท้ายตาราง ภาพเริ่มชัดขึ้นว่า กายารี่ จะเป็นทีมแรกที่ตกชั้น เมื่อจนป่านนี้ยังชนะใครไม่เป็น และมีแค่ 2 แต้มในมือเท่านั้นเอง
อ่อ ส่วนทีมรองบ๊วย ซาแลร์นิตาน่า ล่าสุดเด้งกุนซือ เปาโล ซูซ่า พ้นเก้าอี้ และคว้าเอาอดีตดาวยิงคนดัง ฟิลิปโป้ อินซากี้ เข้ามาทำทีมแทนแล้ว
มาจากไหนไม่มีใครรู้ และมาได้ไงก็ยิ่งไม่มีใครรู้ — ม้าขาว สตุ๊ตการ์ท กับการยืนรองจ่าฝูงด้วยชัยชนะ 6 จาก 7 เกมแรก และมี แซร์อู กีราสซี่ หัวหอกกินีเชื้อสายฝรั่งเศส เป็นดาวซัลโว…ยิงแล้ว 13 ประตู!
ที่จริง ซีซั่นก่อน สตุ๊ตการ์ท อยู่ในสถานะ "เจียนอยู่เจียนตาย" จะร่วงมิร่วงแหล่ เข้าป้ายอันดับ 16 ด้วยชนะแค่ 7 เกมตลอดซีซั่น จนต้องเพลย์ออฟหนีตาย และชนะ ฮัมบูร์ก สกอร์รวม 6-1
แต่มาซีซั่นนี้ ม้าขาวของกุนซือ เซบาสเตียน เฮอเนส ไม่รู้ได้ยาดีอะไร ถึงได้เฉิดฉายถึงขั้นรองจ่าฝูงแบบนี้
แต่ที่ดีกว่า สตุ๊ตการ์ท อีกก็คือ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ของกุนซือหนุ่มไฟแรง ชาบี อลอนโซ่ ที่ 7 เกมผ่านไปยังไร้พ่าย ชนะ 6 เสมอ 1 และยิงได้เฉลี่ย 3.2 ประตูต่อเกม
อย่างไรก็ตาม ก็เป็นคำถามว่า ทั้ง เลเวอร์คูเซ่น และ สตุ๊ตการ์ท จะแผ่วไปตอนไหน และเมื่อไหร่ที่ บาเยิร์น มิวนิค (หรือ ดอร์ทมุนด์) จะจ้ำพรวดแซงขึ้นไป เมื่อแม้จะออกสตาร์ทหนืดๆ หน่อย แต่ บาเยิร์น ของ โธมัส ทูเคิ่ล ก็ตามหลังทั้ง 2 คู่แข่งอยู่แค่เอื้อม รวมถึงยังไม่แพ้ใครเช่นกัน
สำหรับ แฮร์รี่ เคน จัดว่าแจ่มเลยเมื่อกดแล้ว 8 ประตูจาก 7 เกมบุนเดสลีกา และ 9 ประตูจาก 10 นัดรวมทุกถ้วย
บอลน้ำหอมซีซั่นนี้ เท่าที่ผ่านมา 8 เกม ไฮไลท์อยู่ที่ 3 ส่วน
1. ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ยุคใหม่ของ หลุยส์ เอ็นริเก้ ดูยังตั้งหลักปักฐานไม่ได้ ต้องปรับจูนกันพอสมควร โดยที่ 8 เกมแรกเพิ่งชนะได้แค่ครึ่งเดียว (4 นัด) โดยไม่มีความสม่ำเสมอ อันรวมถึงที่ออกไปโดน นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ยิงยับ 4-1 ใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ด้วย
2. การช่วงชิงตำแหน่งจ่าฝูง กลายเป็นของ โมนาโก กับ นีซ ทีมอันดับ 6 และ 9 ซีซั่นก่อน ตามลำดับ โดยที่ นีซ เป็นทีมเดียวซึ่งยังไร้พ่าย และตามหลัง โมนาโก แต้มเดียวถ้วน
และ 3. โอลิมปิก ลียง ยังคงไม่ฟื้น จาก "ลียงลงเป็นยิง" ในอดีต ตอนนี้คงเป็น "ลียงลงเป็นโดน" ป่านนี้ยังชนะไม่เป็น เสมอ 3 แพ้ 5 ต้องประกาศภาวะฉุกเฉินที่ตำแหน่งรองบ๊วย โดยกุนซือใหม่ ฟาบิโอ กรอสโซ่ ที่เข้ามาแทน โลร็องต์ บล็องก์ ก็ยังไม่อาจพลิกชะตาทีมได้แต่อย่างใด ล่าสุดเสมอ ลอริยองต์ 3-3 ทั้งที่นำห่าง 3-1 ตั้งแต่หมดครึ่งแรก
อาจเป็นเซอร์ไพรส์เล็กๆ ที่ เลสเตอร์ ซิตี้ ยุคใหม่ของ เอ็นโซ มาเรสก้า ทำผลงานได้ดีขนาดนี้ แต่ก็จะไม่เซอร์ไพรส์แล้วหากว่าในท้ายที่สุด เลสเตอร์ จะตีตั๋วคืนสู่ พรีเมียร์ลีก ได้อย่างรวดเร็วในเพียงปีเดียว
นั่นเพราะหลังจากผ่านไป 11 เกม เลสเตอร์ ทิ้งระยะเหนืออันดับ 3 (เปรสตัน) ไกลลิบถึง 10 คะแนนเต็ม!
ทัพจิ้งจอก เดินหน้าชนะถึง 10 จาก 11 เกมแรก และเข้าเบรคชนะมาแล้ว 6 เกมรวด ด้วยคุณภาพทีมที่ดูเหนือกว่าใคร และ มาเรสก้า หาจุดลงตัวให้กับทีมของเขาได้โดยไม่ต้องใช้เวลาเนิ่นนาน โดยดาวรุ่งอย่าง เคซี่ย์ แม็คเคเทียร์ ปีกเด็กวัย 21 ยังสร้างผลงานดีต่อเนื่อง ยิงแล้ว 5 ประตูในทุกถ้วย และยังมีทั้ง เคียร์แนน ดิวส์บิวรี่-ฮอลล์, เคเลชี่ อิเฮียนาโช่ และ เจมี่ วาร์ดี้ ที่ก็กดแล้ว 5 ประตูเช่นกัน
รุกดี รับยังเด่น ด้วยการที่ เลสเตอร์ เพิ่งเสียแค่ 6 ประตูเท่านั้น น้อยสุดในลีก
ส่วนถัดจาก เลสเตอร์ แล้ว อิปสวิช ทาวน์ ที่เพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นมา ก็มาดีอย่างเหนือความคาดหมาย ชนะ 9 จาก 11 เกมแรก จนตามหลัง เลสเตอร์ 2 แต้ม และเช่นกัน ทิ้งห่างเบอร์ 3 เปรสตัน ไกลถึง 8 คะแนนทีเดียว
สำหรับท้ายตาราง เด่นๆ มาเลยว่า เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ ไม่น่ารอดพ้นการตกชั้นกลับสู่ ลีก วัน เร็วจี๋หลังเพิ่งเลื่อนขึ้นมา เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นในแทบทุกภาคส่วน ตั้งแต่ฟอร์มการเล่น, กุนซือที่เพิ่งเปลี่ยน (ซิสโก้ มูนยอซ โดนเด้ง) และแม้แต่เจ้าของสโมสร เดชพล จันศิริ ที่ฟิวส์ขาด ประกาศไม่อัดเงินหนุนทีมอีกต่อไป หลังโดนแฟนบอลวิจารณ์หนักในช่วงที่ผ่านมา
มรสุมที่รุมเร้าเจ้านกเค้าแมว ทำให้หลังจาก 11 นัดผ่านไป พวกเขาเป็นทีมเดียวที่ยัง "ชนะใครไม่เป็น" และมีในมือเพียง 3 แต้มเท่านั้น นับวันจะยิ่งโดนทีมโซนปลอดภัยทิ้งระยะห่างขึ้นเรื่อยๆ
ยืนระยะได้อย่างยอดเยี่ยมสำหรับ อัล-ฮิลาล ต้นสังกัดของ เนย์มาร์, อเล็กซานดาร์ มิโตรวิช, รูเบน เนเวส, มัลคอม, คาลิดู คูลิบาลี่, เซอร์เก มิลินโควิช-ซาวิช และ ยาสซีน บูนู ที่ถึงตรงนี้ยังคงเป็นทีมเดียวที่ "ไร้พ่าย" และชนะ 7 จาก 9 เกมแรก
แต่ท่ามกลางฟอร์มดีมีมาตรฐานของ มิโตรวิช หรือ มัลคอม (ในขณะที่ เนย์มาร์ ยังไม่มีสกอร์ในลีกเลย) ดาวเด่นของ อัล-ฮิลาล กลับเป็นคนในอย่าง ซาเล็ม อัล-ดอว์ซารี ที่กดแล้ว 6 ประตูในลีก และอีก 2 เม็ดในบอลถ้วย ขณะที่ เนเวส ก็ไม่เลวเลยด้วยการทำแอสซิสต์ 4 ครั้ง
ด้าน อัล-นาสเซอร์ ที่อยู่ในการจับตา ด้วยเป็นทีมของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ ซาดิโอ มาเน่ ฮึดขึ้นอย่างชัดเจน พลิกจากที่แพ้ 2 เกมแรกมาชนะ 6 นัดรวด ก่อนที่ล่าสุดจะพลาดเล็กๆ โดนทีมอันดับ 15 อับฮา ไล่ตีเสมอ 2-2 ทดเจ็บ 90+2
อัล-นาสเซอร์ คงต้องเร่งเครื่องขึ้นกว่านี้เพื่อไล่ชิงจ่าฝูงกับ อัล-ฮิลาล เพียงแต่เกมรุกของพวกเขาก็ดูลงตัวดีแล้ว โรนัลโด้ ร้อนแรงด้วยการกดไป 10 ประตูในลีก และ 17 ลูกจาก 17 นัดรวมทุกถ้วย ขณะที่ มาเน่ ก็ยิงแล้ว 6 ลูกในลีก บวกอีก 1 เม็ดในบอลถ้วย
ขอบคุณเนื้อหาจาก 90min.com
https://www.90min.com/th/posts/feature-update-big-league-round-up-in-october-2023