ลิเวอร์พูล สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ภายใต้การนำของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมชาวเยอรมัน ยังคงโชว์ฟอร์มยอดเยี่ยมต่อเนื่อง หลังเปิดรัง แอนฟิลด์ ไล่ถล่ม เชลซี ของ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ไปแบบขาดลอย 4-1 ในเกมลีกเมื่อวันพุธที่ผ่านมา พร้อมกับยึดจ่าฝูงต่อไปอีกสัปดาห์
ในเกมนี้ ลิเวอร์พูล ยังคงแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของขุมกำลังแทบทุกตำแหน่งในสนามไล่ตั้งแต่แนวรับ แผงกองกลาง และแนวรุก ซึ่งบรรดาผู้เล่นที่ถูกส่งลงสนาม นั้น ต่างก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างโดดเด่นตลอดทั้ง 90 นาที
ในแดนหลัง คอนเนอร์ แบรดลีย์ ดาวรุ่งชาวไอร์แลนด์เหนือ ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า มีฝีเท้าดีพอที่จะท้าชิงตำแหน่งแบ็คขวาตัวจริงจาก เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ได้ หลังจากระเบิดฟอร์ม ทำไป 1 ประตู และ 2 แอสซิสต์ พร้อมกับคว้าได้รับรางวัล “แมน ออฟ เดอะ แมตช์” ติดต่อกันเป็นเกมที่ 2
แบ็คขวา วัย 20 ปี ทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยมในการเติมเกมรุกขึ้นมายิงประตูเสียบเสาอย่างเฉียบขาด และแอซซิสต์ให้กับ ดิโอโก โชต้า กับ โดมินิค โซบอสซ์ไล ทำคนละ 1 ประตู และในส่วนของเกมรับ แบรดลีย์ ก็จัดการกับบรรดานักเตะฝั่งซ้ายของ เชลซี อย่าง ไมไคโล มูดริก และ เบน ชิลเวลล์ ได้อย่างแข็งแกร่ง
ขณะที่อีกฝั่งของสนามอย่าง โจ โกเมซ ที่ขยับมารับบทแบ็คซ้ายจำเป็นตลอดเดือนที่ผ่านมา ก็ยังทำผลงานได้อย่างแข็งแกร่งเช่นเคย ซึ่งทำให้ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ที่เพิ่งหายเจ็บกลับมา นั้น ต้องเจอกับงานหนักพอสมควรที่จะแย่งตำแหน่งตัวจริงกลับคืนมา
แผงมิดฟิลด์ อเล็กซิส แม็คอัลลิสเตอร์ กลับมาลงเล่นเป็นตัวจริงอีกครั้งหลังจากเกม เอฟเอ คัพ ที่ถล่ม นอริช ซิตี้ 5-2 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ไม่ได้มีส่วนร่วมกับทีม เนื่องจากบาดเจ็บเล็กน้อย และ เจ้าตัวก็แสดงให้เห็นแล้วว่า เป็นจอมทัพของทีมอย่างแท้จริง
ดาวเตะวัย 25 ปี ทำให้จังหวะของ ลิเวอร์พูล ดูนิ่ง และเหนือกว่า เชลซี เป็นอย่างมาก และยังตัดบอล คุมจังหวะเกม ถ่ายบอล และเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่กดดันได้เป็นอย่างดี โดยเกมนี้ แม็คอัลลิสเตอร์ เป็นอีกคนที่สมควรได้รับคำชื่นชม
ขณะที่สามประสานแดนหน้าอย่าง ดาร์วิน นูนเซซ, โชต้า และ ดิอาซ ทำหน้าที่ของตัวเองได้เป็นอย่างดีในวันที่ไม่มี โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และถึงแม้แฟนบอล ลิเวอร์พูล หวังว่า ปีกชาวอิยิปต์จะกลับมาลงเล่นในเร็วๆนี้ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องรีบร้อนจนเกินไป
ในเกมนี้ นูนเญซ ทำไป 1 แอสซิสต์, โชต้า ทำไป 1 ประตู ขณะที่ ดิอาซ ทำไป 1 แอสซิสต์ และ ซัด 1 ประตู ซึ่งทั้ง 3 คน ช่วยกันไล่เพรสซิ่งกดดันแนวรับ เชลซี จนปั่นป่วนตลอดทั้งเกม นอกจากนี้ พวกเขายังสื่อสารกันได้อย่างเข้าใจ เนื่องจากพูดภาษาโปรตุเกสเหมือนกันอีกด้วย
ขณะเดียวกัน การเอาชนะ เชลซี ในนัดนี้ เป็นเหมือนการที่ คล็อปป์ ส่งสัญญาณไปยังทีมของ โปเช็ตติโน่ ว่า พวกเขาพร้อมแล้วสำหรับเกม คาราบาว คัพ นัดชิงชนะเลิศ ที่จะฟาดแข้งกันในวันที่ 25 กุมภาพันธ์นี้ ที่สนาม เวลมบลีย์
อย่างไรก็ตาม ก่อนจะถึงวันนั้น ลิเวอร์พูล มี “บิ๊กแมทช์” สำคัญสุดๆคือ นัดต่อไปที่ต้องออกไปเยือน อาร์เซนอล ที่สนาม เอมิเรตส์ สเตเดียม ในวันอาทิตย์นี้ และหากมีแต้มกลับออกมา “หงส์แดง” ก็จะมีความมั่นใจมากขึ้นสำหรับลุ้นแชมป์ไปจนถึงช่วงท้ายซีซันนี้
ขอบคุณเนื้อหาจาก 90min.com
https://www.90min.com/th/posts/opinion-space-of-quality-between-liverpool-and-chelsea