รายการ: ฟุตบอล เอฟเอ คัพ รอบ 4วันแข่งขัน: วันศุกร์ที่ 26 มกราคม 2567สนาม: สแตมฟอร์ด บริดจ์ผลการแข่งขัน: เชลซี 0-0 แอสตัน วิลล่า
แน่อยู่แล้วว่า เชลซี ครองแชมป์ เอฟเอ คัพ มามากสมัยกว่า แอสตัน วิลล่า แต่ที่จริงก็มากกว่าแค่ "หนเดียว" เท่านั้น
สิงห์น้ำเงิน ครองแชมป์ถ้วยนี้มาแล้ว 8 สมัย ล่าสุดคือเมื่อ 2018 ที่ชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด 1-0 เอแด็น อาซาร์ ซัดโทน
ฝั่ง สิงห์ผงาด ฟาด เอฟเอ คัพ มาไม่น้อยที่ 7 สมัย แต่ครั้งสุดท้ายคือ "เกือบลืมไปแล้ว" หรือจริงๆ ก็ไม่มีใครจำได้หรอก กับแชมป์ปี 1957 หรือ 67 ปีมาแล้วโน่น
สำหรับรอบที่แล้ว เชลซี ผ่าน เปรสตัน นอร์ธเอนด์ อย่างสบาย 4-0 ด้าน แอสตัน วิลล่า ต้องออกแรงเยอะทีเดียวกว่าจะบุกโค่น มิดเดิ้ลสโบรช์ ถึงแดนอีสาน 1-0 แม็ตตี้ แคช ฮีโร่นำชัย น.87
ก็คงไม่ต้องสงสัยว่า เชลซี ของ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ มีถ้วย เอฟเอ คัพ เป็นหนึ่งในเป้าหมาย เมื่อการสร้างทีมใหม่ชั่วโมงนี้ แชมป์ไหนเอาได้พี่เอาหมด แต่ก็เช่นเดียวกันกับทาง อูไน เอเมรี่ ที่กำลังยกระดับ แอสตัน วิลล่า ถ้ามีแชมป์ถ้วยนี้ติดมือ ก็ย่อมเป็นการยืนยันว่า ทีมของเขาก้าวไปอีกขั้นได้แล้วจริงๆ
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ โปเช็ตติโน่ จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทีมอะไรได้เยอะ เมื่อจำนวนตัวเจ็บยังคงสุมกองพะเนินไม่ต่างจากเดิม แถมยังเพิ่มเติมจากเกมวันอังคารที่ถล่ม เดอะ โบโร่ 6-1 กับในราย ลีวาย โคลวิลล์ จนนับไปนับมา มากถึง 10+1 รายที่ไม่พร้อมช่วยทีมตอนนี้
10 รายเจ็บ ส่วนอีก 1 คือ นิโคลัส แจ๊คสัน ยังอยู่ใน แอฟริกา คัพ ออฟ เนชั่นส์ โดยตอนนี้ เซเนกัล กำลังรอเตะรอบ 8 ทีมสุดท้ายกับจ้าภาพ ไอวอรี่โคสต์ อยู่ (จันทร์ 29 ม.ค.)
11 ตัวจริงวันนี้ โปเช็ตติโน่ ปรับด้วยการพัก เบน ชิลเวลล์ ลงนั่งสำรอง เช่นเดียวกับ อาร์มันโด้ โบรย่า และ มิไคโล มูดริค ที่หลุดจากทีม โดยหลังบ้านส่ง อัลฟี่ กิลคริสต์ ดาวรุ่งวัย 20 ลงมายืนแบ็กขวา แล้วโยก อักเซล ดิซาซี่ ไปอยู่ฝั่งซ้าย เบอนัวต์ บาเดียชิล ลงจับคู่เซนเตอร์กับพี่ใหญ่ ติอาโก้ ซิลวา
ส่วนเกมรุก คอนเนอร์ กัลลาเกอร์ ได้กลับลงมายืนกลางรุก ขนาบข้างด้วย ราฮีม สเตอร์ลิ่ง และ โนนี่ มาดูเอเก้ เท่ากับ โคล พาลเมอร์ ถูกดันขึ้นสูงไปเป็นหอกเป้า ฟอลส์ไนน์ อีกครั้ง
สำหรับตัวสำรอง มีถึง 5 รายที่ยกขบวนขึ้นจากทีมเยาวชน ทั้ง ลีโอ คาสเซิ่ลดีน กลางเด็ก 18, เดวิด วอชิงตัน หอกแซมบ้าวัย 18, ดีแลน วิลเลี่ยมส์ (20), แม็กซ์ เมอร์ริค (18) และ ลูคัส เบิร์กสตรอม ประตูดาวรุ่งวัย 21
อย่างไรก็ตาม ในการเผชิญหน้ากับ แอสตัน วิลล่า ที่ใช้ชุดใหญ่เต็มกำลัง นำโดย โอลลี่ วัตกิ้นส์, มุสซ่า ดิยาบี้, จอห์น แม็คกินน์, เกลม็องต์ ล็องเล่ต์
ปรากฏว่า เชลซี ควรขึ้นนำได้สัก 3-0 ในครึ่งแรก
ที่จริง เป็นอัฒจันทร์ฝั่งทีมเยือน สิงห์ผงาด ที่ได้ฉลองก่อนในช่วงต้นเกม นาที 12 ที่บอลจากเตะมุมถูก อัลฟี่ กิลคริสต์ โขกสกัดปลิ้นเข้าทาง ดั๊กลาส ลุยซ์ ยิงง่ายๆ เข้าไปที่เสาสอง
เพียงแต่หลังจาก VAR ฟ้องชัดว่าบอลเด้งไปโดนมือมิดฟิลด์แซมบ้าในเสี้ยววินาทีก่อนยิง จึงเป็นอันว่า วิลล่า เฮเก้อกันไป
และหลังจากนั้น เชลซี ทำได้ดีกว่าชัดเจน–ชัดเจนว่าถ้าไม่ใช่ เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ ที่หว่างเสาผู้มาเยือน ก็อย่างที่บอก คงฉีกสกอร์ขาด 3-0 ไปแล้ว
สมราคานายทวารแชมป์โลก และอย่างที่เคยเอ่ยถึงที่ไหนสักที่ว่าความสำเร็จในตลาดซัมเมอร์ที่แล้วของ วิลล่า ก็คือการที่พวกเขาสามารถรั้งตัว เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ เอาไว้ได้ ไม่โดนยักษ์ใหญ่รายไหนดูดขึ้นยาน
เกมนี้ พูดได้ว่า วิลล่า ดึงเสมอ 0-0 ก็เพราะความเหนียวหนึบเคี้ยวยากของจอมหนึบอาร์เจนไตน์วัย 31
โนนี่ มาดูเอเก้ : น.16 ส่องเข้าข้อติดเซฟ และมีจังหวะเข้าชาร์จจ่อๆ น.31 ก็ไม่ผ่าน มาร์ติเนซ
เบอนัวต์ บาเดียชิล : ท้ายครึ่งแรกมีจังหวะดันขึ้นโขกจังๆ ระยะอันตราย แต่ไม่มากพอจะเช็กบิล มาร์ติเนซ ได้
โคล พาลเมอร์ : น.18 กองหลังวิลล่าจ่ายพลาดมาให้ล่อเป้าเน้นๆ กดติดเซฟแบบสุดทื่อ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง น.68 มาร์ติเนซ แจกส้มเตะมาชนจนได้กดโล่งๆ อีกครั้ง ก็ดันกะจังหวะวอลเลย์พลาดจนทำบอลลั่นไปเสียเฉยๆ
นอกจากนี้ ท้ายเกมในนาทีชี้เป็นชี้ตาย มาร์ติเนซ ยังมีตัดจังหวะสำคัญในเสี้ยววินาทีก่อน คอนเนอร์ กัลลาเกอร์ จะได้หลุดเดี่ยว
หรือฝั่งนายประตู (มือสอง) เจ้าถิ่น ยอร์เย่ เปโตรวิช ที่ได้ลงแทน โรเบิร์ต ซานเชซ มาต่อเนื่อง 11 เกมซ้อน ก็มีช็อตเซฟสำคัญในลูกใส่เต็มข้อล่อเต็มแข้งของทั้ง โอลลี่ วัตกิ้นส์ และ แม็ตตี้ แคช ช่วงนาที 73-74
สุดท้ายเกมจบลงไปแบบกินกันไม่ลง มีแต่จังหวะหวาดเสียวและเฮเก้อ
0-0 ยังหมายความว่า เชลซี กิน แอสตัน วิลล่า ไม่ลงมา 3 เกมซ้อนแล้ว – แพ้คาบ้าน 0-2 ท้ายซีซั่นก่อน, แพ้คาบ้าน 0-1 เมื่อเดือน ก.ย. และเสมอ 0-0 เกมนี้
แต่เอาเข้าจริง ก็อาจไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเมื่อมาตรฐานของ วิลล่า เหนือกว่า เชลซี ชัดเจนในซีซั่นนี้ ด้วยการยืนอันดับ 4 และมีแต้มเหนือกว่าทีมสิงห์น้ำเงินถึง 12 แต้มใน พรีเมียร์ลีก (43:31)
ณ วันนี้ (27 ม.ค.) ยังไม่มีการยืนยันวันเวลาแข่งใหม่ที่แน่ชัด ระหว่าง แอสตัน วิลล่า v เชลซี ที่ วิลล่า พาร์ค
แต่สื่ออังกฤษคาดกันว่า น่าจะลงในระหว่างวันที่ 5-10 ก.พ. ซึ่งตอนนั้นทั้ง เชลซี และ วิลล่า ต่างก็มีคิวว่างทั้งสัปดาห์ และ เอฟเอ คัพ รอบ 5 (16 ทีมสุดท้าย) ยังจองวันแข่งไว้ช่วงสิ้นเดือน ก.พ. พอดีด้วย
อีกหนึ่งสิ่งที่เห็นชัดจากเกมนี้ (และเกมก่อนๆ) ก็ใช่… โคล พาลเมอร์ คือดาวรุ่งฝีเท้าจัดจ้าน กลางรุกของดีจากอะคาเดมี่ แมนฯ ซิตี้ ที่ เชลซี จิ้มเลือกได้ถูกต้องตรงเผงในการคว้ามาเสริมทัพ
แต่ "ไม่ใช่" กองหน้า
ตั้งแต่หนก่อนแล้ว เกมตัดเชือก คาราบาว คัพ นัดแรก ซึ่ง เชลซี ออกไปแพ้ มิดเดิ้ลสโบรช์ 0-1 ที่ริเวอร์ไซด์ วันนั้น พาลเมอร์ ในฐานะหอกเป้า ฟอลส์ไนน์ พลาดโอกาสทองไปถึง 4 ครั้ง จนเป็นส่วนสำคัญยิ่งต่อความพ่ายแพ้
และมาเกมนี้ พาลเมอร์ ก็มีโอกาสจบแจ่มๆ 2-3 หน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง น.68 ที่ เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ แจกส้มเตะมาชนจนได้กดโล่งๆ ชนิด "ต้องใส่สกอร์" ก็ดันกะจังหวะวอลเลย์พลาด บอลลั่นกลับเข้ามือ มาร์ติเนซ ไม่น่าเชื่อ
ไม่ว่าจะมองมุมไหน เชลซี ก็ควรซื้อ "กองหน้าคนใหม่" มาเพิ่มก่อนปิดตลาดหนาวนี้
ไม่เห็นจำเป็นต้องรอให้ แจ๊คสัน เสร็จภารกิจรับใช้ชาติ หรือ เอ็นคุนคู พร้อมคืนสนาม หรือถ้าการทุ่มซื้อมันยากไปเมื่อโดนรั้งไว้ด้วย FFP ก็ลองหาหยิบหายืมใครมาเพิ่ม ปลิ้นเงินแค่ค่าจ้างในตลอดสัญญาครึ่งปี
คิดในมุมของแฟนบอล เรื่องแค่นี้ ไม่น่ายากเกินไป…
ขอบคุณเนื้อหาจาก 90min.com
https://www.90min.com/th/posts/post-match-analysis-chelsea-0-0-aston-villa-fa-cup-2023-24