ป้าติ๋มกดดัน ถูกทนายด่าแรง งดให้ข่าว
กรณีข่าวฮือฮา นักธุรกิจหญิงชาวฝรั่งเศส เจ้าของวิลล่าให้เช่าบนเกาะสมุย ได้จบชีวิตตัวเองด้วยการยิงตัวตาย ริมสระน้ำในวิลล่าหรู โดยก่อนตายหญิงรายดังกล่าวได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินมูลค่า 50 ล้านให้ “ป้าติ๋ม” แม่บ้านคนสนิท
รายการโหนกระแส ออกอากาศวันที่ 3 พ.ค. 67 ดำเนินรายการโดย “หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย” ผลิตในนามบริษัท ดีคืนดีวัน จำกัด ออกอากาศทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 12.35 น. ทางช่อง 3 กดหมายเลข 33 สัมภาษณ์ “เชิดชาย” นักข่าวสุราษฎร์ธานี คนเปิดประเด็นนี้ ,หมอหมู รศ.นพ.วีระศักดิ์ จรัสชัยศรี แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวช มศว., ทนายแก้ว ดร.มนต์ชัย จงไกรรัตนกุล พูดเรื่องความเป็นไปได้กับพินัยกรรมฉบับนี้
พี่เชิดเป็นนักข่าวภูมิภาคอยู่ที่สมุย ส่งข่าวให้ช่อง 3 ทำมากี่ปีแล้ว?
เชิดชาย : 20 ปีแล้วครับ
หลายสิบปีเคยเจอข่าวแบบนี้มั้ย ผู้วายชนม์เซ็นมอบพินัยกรรม 100 ล้านให้คนที่ไม่ได้สืบสันดานกันเลย?
เชิดชาย : เคยเจอแค่มรดกในครอบครัว คนไม่ได้เป็นญาติพี่น้อง ไม่ได้สืบสายเลือดก็ไม่เคยเจอ นี่ครั้งแรกที่ทำข่าว
พี่ทำข่าวคุณแคทเธอรีนตั้งแต่วันแรก?
เชิดชาย : ตั้งแต่วันแรกที่เจอศพ วันนั้นวันที่ 29 เม.ย. เวลาที่รับแจ้ง 9 โมงกว่า ๆ มีวิทยุตร.ภูธรเกาะสมุยแจ้งว่ามีชาวต่างชาติถูกยิงเสียชีวิต จากนั้นก็ไปตรวจสอบกัน ไปถึงก็มีคนที่วิลล่าที่เกิดเหตุ รู้ว่าเป็นแม่บ้าน พนักงาน เจ้าหน้าที่ของทีมรพ.เอกชนแห่งนึง กำลังอยู่ที่บริเวณ แต่ศพอยู่ที่สระน้ำข้างล่าง แต่ผมได้ภาพมาคนแรก เป็นศพแหม่มเสียชีวิตอยู่บนเตียงผ้าใบนอนอาบแดด
เป็นพูลวิลล่าขนาดใหญ่ ตั้งอยู่บนเขาหรือยังไง?
เชิดชาย : เป็นเนินเขา ชัน ๆ ขึ้นไป
พี่เห็นชายต่างชาตินอนเสียชีวิตตรงไหน?
เชิดชาย : เจ้าหน้าที่ทีมแพทย์รพ.เอกชน เขาคิดว่าแหม่มยังไม่เสียชีวิตหรือยังไงก็ไม่รู้ ก็เลยนำร่างมาที่พื้น แต่ตอนยิงเขาอยู่บนเตียง นอนหันหัวไปอีกทิศทางนึง สลับกับที่ยกลงมาไว้ข้างล่าง
เก้าอี้เหมือนเตียงนอนยาว พักผ่อนดูวิว เอาเท้าไปทางสระน้ำ เหมือนมองวิวครั้งสุดท้าย เธอรักที่นี่มาก จากนั้นยังไงต่อ?
เชิดชาย : เจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบแล้วปรากฏว่าลักษณะผู้เสียชีวิตอยู่สลับกันกับตอนพบศพที่แม่บ้านเจอ เจ้าหน้าที่ไปถึงก็กันพื้นที่เกิดเหตุไว้ทั้งหมด เพื่อรอเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน และทีมแพทย์รพ.เกาะสมุยเข้ามาตรวจสอบละเอียดอีกรอบนึง แต่ขณะนั้นทราบว่าอาวุธปืนที่แหม่มใช้ร่วงตกมาอยู่ที่พื้นข้าง ๆ กัน เป็นปืน .45 ใหญ่ครับ
ปืนตกอยู่ข้างไหนของเตียง?
เชิดชาย : ข้างขวา กระสุนเข้าขมับซ้าย ทะลุขวา เขาใช้มือซ้ายยิง ก่อนหน้านี้ผู้เสียชีวิตนอนอยู่บนเตียง ขณะที่เจ้าหน้าที่ไปยกศพลงมาเพื่อตรวจร่างกาย ปืนก็หล่นมาที่พื้น
ปืนยิงเสร็จก็ตกอยู่ที่ตัว แต่เจ้าหน้าที่ตอนที่มา คิดว่าแหม่มยังมีลมหายใจ เลยพยายามช่วยกันกู้ชีพ ยกตัวลงพื้นทำซีพีอาร์ ปืนเลยตกมาอยู่ข้างขวา ตร.เช็กหมดเรียบร้อย จากนั้นยังไงต่อ?
เชิดชาย : เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานก็นำป้าแม่บ้าน คนงาน 3-4 คนที่พบศพในครั้งแรก พาไปตรวจเขม่าดินปืน เบื้องต้นไม่พบนะ ระหว่างชันสูตรศพ ก็เชิญป้าติ๋มมาที่ลานจอดรถ สัมภาษณ์แกคนแรกในเรื่องประเด็นต่าง ๆ
หลังจากนั้นตร.หรือคนไปสังเกตการณ์ตรงนั้น มั่นใจได้เลยว่าคุณแคทเธอรีนเธอจบชีวิตตัวเองจริง ๆ ?
เชิดชาย : ครับ
มุมกล้องที่วิพากษ์วิจารณ์ก่อนหน้านี้ กล้องถูกดันขึ้นข้างบน ดันขึ้นยังไง?
เชิดชาย : น่าจะใช้ไม้ถูกพื้นดึงกล้องลงมา ก่อนเสียชีวิตแกนั่งอยู่กับคอมพิวเตอร์ เหมือนพิมพ์อะไรสักอย่าง ก่อนใช้ไม้ถูพื้นดึงกล้องลง
ขวามือมีเตียงคู่กันสองอัน หลังแคทเธอรีนเอากล้องลงแล้ว ไปเลื่อนเตียงย้ายมาตรงฝั่งที่มีผ้าใบสีส้ม เธอนอน แล้วก็จบชีวิตตรงนั้น?
เชิดชาย : ข้างกายแหม่มมีแก้ววอดก้าและบุหรี่ น่าจะดื่มวอดก้าด้วย
มูลเหตุน่าจะมาจากอะไร?
เชิดชาย : เท่าที่คุยกับป้าติ๋ม แหม่มมีอะไรก็คุยกับป้าแม่บ้านทุกเรื่อง แม้แต่เรื่องป่วย ไปรพ. บอกทุกเรื่อง คืนเดียวกัน แหม่มส่งแมสเสสไปที่โทรศัพท์ป้าติ๋ม แต่ป้าติ๋มไม่ได้อ่าน บอกว่าพรุ่งนี้เราเจอกันนะ เราต้องพูดคุยกันอีกเยอะ มีเรื่องซับซ้อน แกไม่สบาย ป่วยเป็นมะเร็ง ป้าติ๋มบอกว่าแกรักษาหายแล้ว มีข้อมูลว่าแหม่มผู้เสียชีวิต เป็นอีกโรคนึง เป็นริดสีดวง
หลังดันกล้องคุณแคทเธอรีนก็เดินเข้าเดินออก?
เชิดชาย : ตอนแรกแกใส่เสื้อกล้ามตัวเดียว ตอนพบร่างมีเสื้อคลุมบาง ๆ มีเสื้อตัวในอยู่ และไปนั่งตรงนั้น
ดูแล้วไม่น่ามีอะไร?
นพ.วีระศักดิ์ : ส่วนตัวมีลักษณะกล้องวงจรปิดแสดงถึงพฤติกรรม พฤติการณ์ค่อนข้างชัดเจนว่าไม่มีบุคคลอื่นเข้าไปเกี่ยวข้อง ทีแรกติดตามข่าวก็จะสงสัยเรื่องกล้องวงจรปิดว่าทำไมปักหัวลง มีบุคคลที่สามเกี่ยวข้องหรือเปล่า แต่วันนี้ก็เฉลยว่าเป็นแหม่มเองที่เป็นคนปักหัวลง แต่ก็ยังเห็นการเดินเข้าออก ผมก็คิดว่าในรายละเอียดไม่มีบุคคลที่สามเข้ามาเกี่ยวข้อง เชื่อได้ว่าน่าจะเป็นลักษณะการฆ่าตัวตาย น่าจะเข้าได้
ดูบาดแผล เท่าที่ฟังมา มองยังไง?
นพ.วีระศักดิ์ : ปกติประเด็นที่มีความสงสัยมากที่สุดสำหรับการฆ่าตัวตายด้วยอาวุธปืน คือถนัดข้างไหน แล้วยิงข้างไหน ส่วนใหญ่ถ้ายิงซ้ายออกขวาก็ควรถนัดซ้าย ยิงขวาออกซ้ายก็ควรถนัดขวา ซึ่งตามข้อมูลก็สอดคล้องที่บอกว่าเป็นคนถนัดซ้าย บาดแผลกระสุนปืนเข้าทางซ้ายออกด้านขวาก็เป็นข้อมูลที่สอดคล้อง จึงไม่มีประเด็นน่าสงสัยอะไร ส่วนเรื่องอื่น ๆ ต้องรอผลชันสูตร รอดูบาดแผลอื่น ๆ เพิ่มเติม รอดูเรื่องยา หรือสารเสพติด หรืออะไรอื่น ๆ ทางร่างกาย แต่เบื้องต้นคิดว่ายังไม่มีประเด็นที่อาจเชื่อได้ว่าเป็นการถูกฆาตกรรม
เห็นร่องรอยกระสุนปืนทะลุไปโดนกระจก?
เชิดชาย : .45 แรงมาก มีหัวกระสุนกระเด็นทะลุกระจกไป 4-5 เมตร
นพ.วีระศักดิ์ : ตรงขมับกะโหลกบางอยู่แล้ว ยิงทะลุก็มีโอกาส ที่จะมีอานุภาพเจาะทะลุวัตถุอื่น ๆ ได้อยู่แล้ว เป็นเรื่องที่กองพิสูจน์หลักฐานต้องไปพิสูจน์เพิ่มเติม
วันนี้จากการพิสูจน์เรียบร้อยแล้วก็เป็นการจบชีวิตตัวเอง คุณแคทเธอรีนเป็นชาวต่างชาติที่มาลงทุนในประเทศไทย รู้จักป้าติ๋มมา 17 ปี ก่อนหน้านี้ไม่ได้อยู่สมุย เพิ่งอยู่สมุยกี่ปี?
เชิดชาย : แกบอกอยู่สมุย 17 ปี ทำงานตั้งแต่สาว ๆ กับแหม่ม
ฝั่งป้าติ๋มรู้จักคุณแคทเธอรีน 17 ปี แต่อยู่สมุย 12 ปี คุณแคทเธอรีนสร้างวิลล่าทั้งหมด 5 หลัง หลังที่จบชีวิตตัวเองสร้างอีกหลังเป็นสมบัติส่วนตัว ที่เหลือให้เช่า ขายด้วยมั้ย?
เชิดชาย : 5 หลังเป็นในนามบริษัท จำหน่ายไปแล้ว 3 หลัง เหลือ 2 หลังที่ยังไม่ได้จำหน่าย เห็นว่าจะโอนให้อดีตสามี
พี่รู้ได้ไงว่าเขาทำพินัยกรรม?
เชิดชาย : หลังจากเกิดเหตุวันนั้น ป้าติ๋มพูดว่าเป็นคนสนิท เราก็อยากได้แหล่งข่าว สัมภาษณ์ลึกมาก ทั้งปืน ทรัพย์สิน อยู่กันมายังไง แกบอกหมดเลยนะ ว่าเพิ่งทราบข่าวว่าทำพินัยกรรมให้ เพราะแหม่มมาขอสำเนาเอกสาร บัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้านเพื่อส่งให้ทนาย เพื่อทำพินัยกรรมให้ คืนนั้นแหม่มได้โอนเงินให้พนักงานทุกคนเลยนะ โอนให้ป้าติ๋มด้วย 5 หมื่นบาทเป็นค่าใช้จ่ายค่าน้ำค่าไฟอะไรสักอย่าง
ในข้อมูลบอกให้ 5 แสน?
เชิดชาย : ไม่รู้สอดคล้องกันหรือเปล่า เราถามแก แกบอกว่าให้มา 5 หมื่น เราถามว่าป้ารู้สึกยังไง แหม่มทำพินัยกรรมให้ ป้าบอกว่าไม่ได้อยากได้พินัยกรรม อยากอยู่กับแหม่ม มีเสียงที่ป้าแกพูดด้วย
ในนี้บอกว่าโอนให้ 5 แสน เพื่อทำศพให้แคทเธอรีน?
เชิดชาย : สัมภาษณ์ครั้งแรกบอกว่าโอนให้ 5 หมื่นเพื่อจ่ายค่าน้ำค่าไฟ หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้ติดตามข่าวแล้ว อีกวันมีน้องสำนักข่าวนึงสัมภาษณ์แก แกก็ให้สัมภาษณ์ลึกมาก พอข่าวออกไปเป็นประเด็นแกก็ตกใจ เพราะถูกตำหนิด้วย
ตอนนี้แกเก็บตัว ไม่คุยกับใครเลย?
เชิดชาย : ครับ ก็น่าจะมาจากการให้ข้อมูลเยอะไปหรือเปล่า
เปิดคลิปที่พี่เองสัมภาษณ์พี่ติ๋มมาตอนแรก ป้าพูดว่า 3 คนที่จะได้มรดก มีใครบ้าง?
เชิดชาย : มีป้าติ๋ม พนักงานดูแลสระน้ำ และอีกคนไม่แน่ใจว่าเป็นใคร เท่าที่ทราบมา มีคนที่ใกล้ชิดเป็นที่ปรึกษา เป็นชาวต่างชาติด้วย
เห็นบอกว่าพี่เองก็คุยว่ามีหลักฐานมั้ยว่าเป็นพินัยกรรม พี่ได้เห็นมั้ย?
เชิดชาย : ไม่ได้เห็นครับ มันเป็นตู้เซฟใบนึง แต่ไม่ได้เปิด
ป้าติ๋มส่งข้อความมาเหมือนเมล์?
เชิดชาย : ครับ
คุณแคทเธอรีนเขียนว่าถนนของฉัน สิ้นสุดแล้วที่นี่ ฉันคิดอย่างจริงใจว่าคุณเป็นคนมีความซื่อสัตย์ ด้วยเหตุนี้ฉันจึงเลือกคุณให้เป็นผู้ดำเนินการของฉัน ไม่มีอะไรซับซ้อน ฉันเอาพินัยกรรมของฉันอยู่ในตู้นิรภัยของฉัน ฉันอยากเผาศพและเอาขี้เถ้าของฉันไปไว้บนเกาะ ส่วนบริษัทที่มีอยู่ เป็นวิลล่าที่มีทั้งหมดของฉัน เหลืออีก 2 หลัง ขอคืนให้แฟนเก่าของฉัน และบัญชีธนาคารอีกบางส่วน ขอให้คุณส่งมอบแมวสามตัวที่ฉันรัก ฉันขอมอบโทรศัพท์เครื่องนี้ ซึ่งไม่มีรหัสให้คุณด้วย ฉันชำระค่าสมาชิกไว้แล้วเป็นเวลาหลายเดือน และโปรดแจ้งบุคคลต่อไปนี้ในฝรั่งเศสว่าฉันตายแล้ว ได้แก่ …มีเพื่อนที่ฝรั่งเศส, เพื่อนแม่อุปถัมภ์ , อดีตสามี, ลูกพี่ลูกน้องของแม่, ลูกพี่ลูกน้องที่อยู่ฝั่งแม่ พร้อมเธอเองเล่าถึงความทุกข์ทรมานจากการป่วยที่เธอเป็นอยู่ อันนี้พี่เป็นคนถ่าย?
เชิดชาย : ครับ ได้จากป้าติ๋มที่โชว์ให้เราดู
ตกลงคุณแคทเธอรีนให้อะไรป้าติ๋มบ้าง?
เชิดชาย : รถยนต์ 1 คัน เพชรหรือสร้อยที่อยู่ในตู้เซฟ และเงินไม่ทราบจำนวน ส่วนบ้านที่เป็นวิลล่าคร่าว ๆ ประเมินค่า 25-30 ล้าน เฉพาะหลังนั้น ทางขึ้น 2 ไร่ ประมาณ 7-8 ล้าน มันอยู่ชานเมืองของเกาะสมุย ไม่ติดทะเล ห่างกันเยอะครับ แต่วิลล่ามีมูลค่าแน่นอน
เนื้อที่วิลล่าเท่าไหร่?
เชิดชาย : ไม่ถึงไร่ครับ ทางขึ้นแพง ๆ ก็ 10 ล้าน แล้วก็มีรถยนต์ เงินสดไม่รู้เท่าไหร่ แหวนเพชร
ถึง 100 ล้านเหรอ?
เชิดชาย : ไม่ถึงครับ ป้าติ๋มยังพูดเลยว่าประมาณ 50 ล้าน
แล้วข่าวเป็น 100 ล้านมาจากไหน?
เชิดชาย : ไม่รู้เหมือนกัน (หัวเราะ) ผมว่าประมาณ 50 ล้าน ไม่เกินนี้ เราไม่พูดถึงวิลล่ามะพร้าว เพราะจำหน่ายไปแล้ว อีกสองหลังก็ให้สามี
จำเป็นต้องมีหมอในการเซ็นพินัยกรรมเหรอ?
นพ.วีระศักดิ์ : จริง ๆ เรียกว่าเป็นการเซ็นรับรองด้วยสติสัมปชัญญะ และเป็นพยานในชั้นศาล กรณีมีประเด็นปัญหาก็ต้องเป็นพยาน
การเขียนพินัยกรรมถ้าสมบูรณ์ต้องเป็นแบบไหน ที่หมอเห็นมาเป็นร้อยฉบับ?
นพ.วีระศักดิ์ : จริง ๆ ที่มาพบผม โดยส่วนใหญ่จะให้เราออกใบรับรองแพทย์เพื่อยืนยันสติสัมปชัญญะ เพื่อไปทำพินัยกรรมฝ่ายเมือง คือไปทำที่เขตหรือที่อำเภอ เวลาไปเขาต้องการใบรับรองแพทย์ยืนยันสติสัมปชัญญะ เจ้าหน้าที่ประเมินเหมือนกันว่ามีสติตามที่หมอเขียนหรือเปล่า ก็เป็นการประเมินสองชั้น กรณีแบบนี้ก็จะยืนยันได้ ปัญหาที่เราเจอ เวลาเขาแย้งกันเรื่องมรดกเวลาขึ้นชั้นศาล เขาจะแย้งว่าเวลาที่ทำมีสติหรือไม่มีสติ ถ้าพิสูจน์ได้ว่าไม่มีสติ ก็ถือว่าเป็นโมฆะ
แยกแยะยังไง มีสติกับไม่มีสติ?
นพ.วีระศักดิ์ : ผมทำมานานพอสมควร ผมจะมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญร่วมด้วย เราจะมีแพทย์ทำการตรวจ โดยส่วนใหญ่คำว่ามีสติหรือไม่มีสติ ณ ปัจจุบัน มันจะไปเชื่อมโยงเรื่องโรคสมองเสื่อม เพราะคนทำส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ ก็จะมีการตรวจโรคสมองเสื่อม จะตรวจเป็นแบบฟอร์ม เป็นตัวเลข สกอร์ออกมา ถ้าชัดเจนก็ส่งมาหาผมต่อ ผมก็เขียนเป็นภาษากฎหมายยืนยัน และถูกนำไปใช้ พอมีเอกสารประกอบกับมีพยาน คือเจ้าหน้าที่ของรัฐ อันนี้ส่วนใหญ่แล้วจะแย้งยาก แต่หลายกรณีมีการเอาใบรับรองไป แล้วดำเนินการด้วยตนเอง อาจไปหาทนายหรือหาพยานคนอื่นมาเขียน บางทีก็เขียนด้วยลายมือ กฎหมายก็รองรับ หรือพิมพ์แล้วมีการเซ็น มีพยาน กฎหมายก็รองรับ ซึ่งเหมือนกันทั่วโลก แต่กรณีแบบนี้ในบ้านเรา จากที่ผมศึกษา และทำหน้างานต้องเรียนว่าบ้านเราเหมือนกับทั่วโลก แต่มีความต่างอยู่หน่อย ช่วงที่ผ่านมาก็มีงานวิจัย ที่ทำโดยหลายมหาวิทยาลัย ที่นักศึกษาปริญญาโท ปริญญาเอกเขาทำเรื่องนี้ คือพินัยกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ที่ผ่านมาบ้านเราเริ่มมีกระแสอิเล็กทรอนิกส์เข้ามา ฉะนั้นเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ต้องถูกยอมรับได้ อย่างเราจัดซื้อจัดจ้างมีลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ ก็มีกฎหมายรองรับว่าใช้งานได้จริง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่มีเรื่องพินัยกรรมอเล็กทรอนิกส์ ต่างประเทศบางประเทศมี กรณีแบบนี้เลยไม่แน่ใจ อย่างคุณแคทเธอรีนที่พิมพ์ ถ้าเป็นลักษณะแบบนั้นจริง ส่งอีเมล์ต่าง ๆ ถือเป็นอิเล็กทรอนิกส์ เขาอาจเข้าใจว่ามันทำได้ เพราะบ้านเขาทำได้ก็ได้
สติสัมปชัญญะ มุมแคทเธอรีนมีมั้ย?
นพ.วีระศักดิ์ : อันนี้คือประเด็นค่อนข้างยาก เพราะกรณีแบบนี้การประเมินไม่ใช่ดูจากกล้องวงจรปิดแล้วตอบได้เลย ความจริงนั่งคุยกัน สอบถามได้ ให้เขาเขียน ถามวันเวลาสถานที่ เป็นการลงรายละเอียดค่อนข้างเยอะ เป็นการรับรองสติสัมปชัญญะว่าครบถ้วนหรือไม่ครบถ้วน ทีนี้เรื่องนี้ถ้าไม่มีใครแย้งก็ไม่มีประเด็น แต่ถ้าแย้งต้องพิสูจน์ ซึ่งการพิสูจน์ไม่สามารถพิสูจน์ได้โดยการแพทย์ เนื่องจากเธอเสียชีวิตแล้ว อาจมีการเชื่อมโยงไปว่ามีการตรวจรักษาที่รพ. มีประวัติการรักษา แต่การรักษาอาจไม่เกี่ยวกับเรื่องสติ เป็นเรื่องอื่น เป็นการต่อสู้แต่ไม่มีหลักฐานชัดเจน
ตอนแรกใส่เสื้อกล้าม ก่อนจบชีวิตเดินไปใส่เสื้อคลุม มองว่าอยากสวยงาม ที่นั่งตรงเตียง มองที่วิวด้านหน้า แสดงให้เห็นว่าเธอกำลังจากโลกนี้ไปด้วยความรักในสถานที่แห่งนั้นเพราะเธอสร้างที่แห่งนั้นด้วยความรัก เธอกำลังมองวิวมองทุกอย่าง เลือกจบตรงนั้น เหมือนมีสติสัมปชัญญะ?
นพ.วีระศักดิ์ : กรณีแบบนี้เราเห็นจากภาพมันก็มีการตีความ แน่นอนจากที่คุณหนุ่มพูด ใช่ แต่ถ้ามีการแย้งก็จะเป็นอีกประเด็นนึง การที่เขาทำพินัยกรรมต้องมีพยาน เพื่อยืนยันว่าขณะที่เขาทำพยานก็เห็นว่าเขามีสติ พอฟังจากที่พี่เชิดเล่า จริง ๆ บอกมีพินัยกรรมอยู่ในตู้เซฟ
คนรู้รหัสตู้เซฟคือ?
เชิดชาย : ป้าติ๋มน่าจะรู้ครับ
แสดงว่าคุณแคทเธอรีนไว้ใจป้าติ๋ม ถึงขั้นให้รหัสตู้เซฟ และบอกว่ามีพินัยกรรมอยู่ในตู้เซฟ แต่ฉบับนั้นยังไม่มีการเปิดเผย เพราะตอนนี้ป้าติ๋มโดนบล็อกแล้ว?
เชิดชาย : น่าสงสาร ป้าติ๋มตอนนี้เครียดมาก
จากวิธีจัดการตัวเอง คิดว่ามีสติ ถ้าไม่มีสติคงทำไปเลย?
ทนายแก้ว : คำว่าสติสัมปชัญญะ ต้องมีขณะกระทำพินัยกรรม กรณีการป่วยหรือฆ่าตัวตาย เป็นหลังจากทำพินัยกรรมแล้ว หลักกฎหมายมองว่าสติสัมปชัญญะ จะจับโดยสองจับ จับแรกคือเอาพยานบุคคลกับเอกสารมาดู เหมือนที่หมอหมูพูดว่าให้แพทย์มาวินิจฉัย แน่นอนนั่นคือพยานเอกสารเพื่อมายันกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายเมืองอีกที เมื่อเจ้าหน้าที่มีการสอบถามผู้ทำพินัยกรรม รับฟังได้ โต้ตอบได้ก็เลยเซ็นประทับตรานายอำเภอลงไป แบบนี้ถือว่าสมบูรณ์ ส่วนกรณีที่สติ เหตุป่วย หรือเหตุที่ตัวเองจะฆ่าตัวตาย เป็นโรคมะเร็งหรืออะไรก็ตามเป็นคนละส่วนกัน พินัยกรรมตามกฎหมายไทย กำหนดว่าต้องทำตามแบบเท่านั้น แบบบ้านเรามี 5 แบบ แต่หลัก ๆ มีอยู่ 3 แบบ แบบที่หนึ่งคือพินัยกรรมฝ่ายเมือง ที่ให้ไปทำที่อำเภอ แบบที่สองคือแบบธรรมดา ต้องมีการเซ็น และมีพยานสองคน นั่งคุยกับทนายความ เซ็นต่อหน้าพยานสองคน ที่เป็นแบบพิมพ์ทั่ว ๆ ไป แบบที่สามคือแบบเขียนเองทั้งฉบับ ต้องเขียนด้วยลายมือตัวเอง เจตนารมณ์กฎหมายข้อที่สาม ต้องการให้เห็นว่าเขามีสติสัมปชัญญะ ดูลายมือว่าเขียนสั่นมั้ย แบบที่สามไม่ต้องมีพยาน เพราะพิสูจน์ได้จากลายมือที่เขียน แบบที่สามห้ามใช้นิ้วแปะโป้ง ต้องเขียนลายเซ็นเท่านั้น แต่แบบที่สอง เป็นแบบธรรมดา ทำต่อหน้าทนาย เป็นแบบพิมพ์ แปะโป้งได้ แต่ต้องมีพยาน 2 คน ถ้าไม่มีตามนี้ ถือว่าเป็นโมฆะหมดครับ ย้อนกลับมาส่วนป้าติ๋ม จากข้อเท็จจริงที่ฟังมาตั้งแต่ตอนต้น มีการทำพินัยกรรมเก็บไว้ในตู้เซฟ เข้าใจว่าน่าจะมีการทำแบบที่สอง โดยเก็บไว้ที่ทนายความ 1 ฉบับ เก็บไว้ที่ตัวผู้ตาย 1 ฉบับ ผมมองว่ากรณีที่ปรากฏภาพในมือถือน่าจะเป็นเรื่องของผู้ตายแจ้งดีเทล รายละเอียดให้ผู้รับผลประโยชน์รับทราบ
เอาแค่เป็นอีเมล์ มีผลทางกฎหมายมั้ย?
ทนายแก้ว : ตอบได้เลยว่าไม่มีครับ ถ้าไม่มีแบบที่หนึ่ง แบบที่สอง กรณีส่งอีเมล์เป็นการแสดงเจตนารมณ์ผู้เสียชีวิตเท่านั้น
ถือเป็นพินัยกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ไม่ได้เหรอ?
ทนายแก้ว : ไม่ได้ กฎหมายไทยยังไม่รองรับครับ ถ้าจะรองรับ ต้องเป็นกรณีการเขียน
ถ้าพิมพ์แล้วส่งให้แก้ว แล้วปรากฏว่าเสียชีวิต?
ทนายแก้ว : อย่างนี้ยังไม่เรียกว่าพินัยกรรม เป็นการแจ้งเจตนารมณ์ของผู้ตายเท่านั้น ต้องเข้าใจว่ากฎหมายไทยวางแบบไว้ จะเป็นพินัยกรรมต้องเข้า 1 2 3 รวมถึงกรณีการสั่งเสียก่อนตาย ก็ถือเป็นพินัยกรรมได้ แต่พยาน 2 คนต้องมาให้ปากคำ
คนกำลังจะตาย บอกว่าขอมอบบ้านหลังนี้ให้กรรชัย แล้วเขาตายไป สองคนนั้นถ้าไม่ยอมมาให้ปากคำ?
ทนายแก้ว : ก็ไม่ได้ครับ หลักกฎหมายบอกว่าการสั่งเสียก่อนเสียชีวิต มีพยานสองคน สองท่านนั้นต้องให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ทันที ถ้าสองคนนี้รวมหัวกันก็ลำบาก แต่กลับมาตรงที่มีการส่งอีเมล์มาสั่งเสียแบบนี้ ปรากฏว่าเสียชีวิตจริง ๆ จะถือเป็นพินัยกรรมมั้ย มันยังไม่ถือครับ
ฉะนั้นวันนี้ถ้ามีแค่อีเมล์ที่คุณแคทเธอรีนส่งให้ป้าติ๋ม ก็คือจบเลย ไม่ได้?
ทนายแก้ว : ไม่ได้ครับ ถ้ามีแค่นั้นนะ ไม่มีเอกสารในตู้เซฟ เพราะข้อความที่ส่งไปเหมือนส่งทางอีเมล์ กฎหมายไทยไม่รองรับเหมือนต่างประเทศ
สงสารป้าติ๋มเลย?
ทนายแก้ว : ผมก็ภาวนา ผมคาดว่าน่าจะมีในตู้เซฟ จากข้อความที่บอกว่าเผาศพแบบนี้ ๆ เป็นภาษาคุยกับทนาย ภาษานี้ทนายต้องบอกว่าถ้าเสียชีวิตแล้วต้องจัดการทรัพย์ตัวเองอย่างไร
แสดงว่าเขาไม่ได้ส่งให้ป้าติ๋มคนเดียว คาดการณ์ว่าส่งให้ทนายและป้าติ๋มด้วย?
ทนายแก้ว : ใช่ครับ น่าจะเป็นการถอดใจความสำคัญที่ทำเปเปอร์อยู่ในตู้เซฟออกมา
จดหมายอิเล็กทรอนิกส์บอกว่าถ้าตายไปแล้ว ให้ติดต่อเพื่อนที่อยู่ที่ฝรั่งเศส ติดต่อคนนั้นคนนี้ ซึ่งป้าติ๋มคงติดต่อเองไม่ได้ ยกเว้นทนาย?
ทนายแก้ว : ถูกครับ ถ้าไม่ได้คุยกับทนายผู้เสียชีวิตไม่มีทางส่งข้อความไปบอกป้าติ๋มหรอกครับ
แสดงว่าผู้ตายต้องส่งให้ทนาย?
ทนายแก้ว : ใช่ และเข้าใจว่าบุคลิกผู้เสียชีวิต เขาวางแผน เตรียมการ ต้องทราบอยู่แล้วว่าทำพินัยกรรมให้เสร็จ ส่งข้อความบอกคนนี้ ๆ เป็นขั้นตอนอย่างนั้น มั่นใจว่าเคสนี้ต้องมีการทำพินัยกรรมแบบที่สอง คือแบบธรรมดา มีการเซ็นต่อหน้าพยานแน่นอน
ทำไมคิดว่าป้าติ๋มรู้รหัสตู้เซฟ?
เชิดชาย : เพราะป้าติ๋มบอกว่าแหม่มมีอะไรไม่ปกปิดเขา แม้แต่เรื่องเดียว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็แล้วแต่ แหม่มเปิดเผยให้รับรู้ทุกอย่าง น่าจะเอารหัสให้
ทนายแก้ว : การทำพินัยกรรม เจ้าของทรัพย์ ต้องทำพินัยกรรมเฉพาะในสัดส่วนที่ตัวเองมีสิทธิ์เท่านั้น ยกตัวอย่างกรณีสินสมรส ทำมาหาได้ร่วมกันผัวเมีย แม้คนเขียนพินัยกรรมจะยกบ้านให้ทั้งหลังก็ตาม ภรรยาก็สามารถร้องคัดค้านในสิทธิ์ของตัวเองได้ครึ่งนึงอยู่แล้ว การทำพินัยกรรมจะไปเขียนเกินสิทธิ์ที่ตัวเองมีอยู่ไม่ได้ครับ
กรณีเป็นผู้สืบสันดาน?
ทนายแก้ว : เป็นคำสั่งเสียของผู้ตาย เป็นสิทธิ์โดยชอบธรรมของเขา เขาอยากจะยกเงินทั้งหมดให้มูลนิธิก็มีเยอะ ยกเงินให้รพ.ก็มี ตรงนี้เป็นสิทธิ์ของผู้ตายโดยเที่ยงแท้ ไม่ได้เป็นเรื่องผิดปกติ เรื่องนี้เป็นทรัพย์เฉพาะเจาะจงที่ยกให้กับคนใดคนหนึ่ง เป็นสิทธิ์โดยชอบของเขา แต่พินัยกรรมต้องดูฉบับสุดท้าย
ต้องรอดูว่าพินัยกรรมที่อยู่ในเซฟมีจริงหรือเปล่า ถ้าเป็นแบบที่แหม่มพิมพ์ ไม่มีลายเซ็นพยาน ได้มั้ย?
ทนายแก้ว : ถ้าเป็นการพิมพ์ ไม่ได้เขียน มีแค่ลายเซ็นแหม่มคนเดียว ตอบตามหลักกฎหมาย ไม่ได้ครับ แต่มีการตระเตรียมขอเอกสารป้าติ๋มมาแล้ว คิดว่าน่าจะอยู่ในตู้เซฟ อยากให้ป้าได้ครับ
หมอหมูคิดว่าไง?
นพ.วีระศักดิ์ : ผมก็อยากให้เป็นแบบนั้นเหมือนกัน อยากให้ป้าได้ เพราะบ้านเราออกเป็นข่าวอาจดูแปลก เกี่ยวกับการมอบทรัพย์ให้บุคคลที่ไม่ได้อยู่ในครอบครัวแต่ต่างประเทศถือว่าเป็นเรื่องปกติ โดยส่วนใหญ่ความสัมพันธ์ในครอบครัวเขาไม่ได้เหนียวแน่นเหมือนบ้านเรา ใครมาดูแลใกล้ชิด คอยเทคแคร์เขาตลอดเวลา เขาก็มีสิทธิ์มอบให้ หรือมอบให้องค์กรการกุศล เป็นเรื่องปกติเลย กรณีนี้ถ้าให้ป้า ให้คนทำความสะอาดสระอะไรก็ตาม มุมมองความเป็นต่างชาติของเขา เขามองเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้ผิดปกติอะไร
ทนายแก้ว : เท่าที่ฟังมา แหม่มก็เข้าใจบริบทกฎหมายไทยพอสมควร เพราะอยู่กับป้าติ๋มมา 17 ปี เข้าใจว่าการทำธุรกิจอะไรในประเทศไทย ต้องมีนักกฎหมายไทยคอนเซ้าท์เขาอยู่แล้ว
สมมติพินัยกรรมที่คุณแคทเธอรีนทำให้ป้าติ๋ม ถ้าแกไม่มีคนเซ็นเป็นพยาน ไม่ได้เขียนด้วยลายมือชื่อ พิมพ์ไว้เฉย ๆ ป้าไม่ได้แน่ ๆ เพราะไม่มีพยาน แล้วมรดกหรือสมบัติจะเป็นของใคร?
ทนายแก้ว : กรณีทรัพย์ผู้ตาย ไม่ได้ระบุทำพินัยกรรมไว้ ต้องตีกลับไปสู่ผู้สืบสันดาน คือพ่อแม่เขา ลูกเขา สามีเขา หากไม่ได้เจาะจงเป็นของใคร ต้องตีกลับไปให้ครอบครัวผู้ตายครับ
นพ.วีระศักดิ์ : กฎหมายออกมาแบบนี้เพื่อคุ้มครองสิทธิ์ผู้ที่ทำเรื่องมรดก และบุคคลที่เกี่ยวข้อง ต้องเรียนว่าผมอยู่ในสภาวะที่หลายกรณีเป็นประเด็นฟ้องร้อง เพราะหลายกรณี บางคนมีหลายบ้าน บางคนมีปัญหาเกี่ยวกับครอบครัว มีปัญหาเรื่องคนทำมรดกเอง มีสติสัมปชัญญะ ที่เรียกว่าไม่ครบถ้วน คือบางทีเดี๋ยวก็รู้เรื่อง บางทีก็ไม่รู้เรื่อง อยู่ ๆ ก็ไปทำเอกสาร โดยไม่ได้มีใครตรวจสอบเลย อยากแสดงเจตนาก็แสดงเจตนาขึ้นมาเลย มันเกิดความเสียหายต่อบุคคลรอบข้างด้วย แล้วตัวเขาเองถ้าไม่มีสติสัมปชัญญะที่ครบถ้วน เขาฟื้นสติขึ้นมา เขาก็รู้สึกว่าไม่ใช่เจตนาของเขาเหมือนกัน ตรงนี้จึงต้องมีบุคคลเข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งพยาน การแพทย์ เพื่อคุ้มครองสิทธิ์ให้กับเขา
ทนายแก้ว : แล้วต้องเข้าใจว่าเรื่องพินัยกรรม เป็นการตัดสิทธิ์ทายาทบางคน กฎหมายเลยต้องวางกรอบชัดเจนว่าพินัยกรรมต้องเป็นไปตามแบบเท่านั้น เพราะบางครั้งทายาทบางคนอาจไม่ได้ทรัพย์มรดกเลยก็ได้เป็นเรื่องสิทธิ์ของผู้ตายจริง ๆ กรณีนี้มีการฟ้องร้องกันเยอะมากว่าพินัยกรรมปลอม ลายมือชื่อไม่ตรง
ตัวป้าก็กดดันมาก?
เชิดชาย : น่าสงสารเลย มีคนตำหนิว่าให้ข่าวให้ข้อมูลจนบานปลาย ให้ใครต่อใครสนใจพุ่งเป้ามาที่ป้า ป้าติ๋ม ณ วันนี้น่าสงสาร
เปิดคลิปป้าติ๋มบอกว่าทนายโทรมาด่าแรง ๆ ป้าติ๋มก็ขอโทษ ทนายว่าแม่บ้านให้ข่าว ตอนนี้อยากจัดงานศพให้ดีที่สุด พอมีข่าวก็โดนทนายด่ามาแล้ว ทนายมาโทษฝ่ายเราทั้งนั้น ฝรั่งเป็นใคร?
เชิดชาย : เป็นที่ปรึกษาของแหม่ม
แกไม่อยากให้ข่าวเพราะโดนทนายด่า?
เชิดชาย : น่าสงสารมาก
ไม่ใช่ว่าเปิดพินัยกรรมแล้วได้เลยนะ ต้องขึ้นสู่กระบวนการศาล ร้องเป็นผู้จัดการมรดกก่อน จากนั้นศาลจะบังคับเองว่าพินัยกรรมนั้น ๆ จะตกเป็นของใคร?
เชิดชาย : เป็นไปตามกระบวนการ
นพ.วีระศักดิ์ : ความจริงเป็นกระทบบุคคลอื่นในครอบครัวด้วยที่อาจถูกตัดสิทธิ์ ก็ยังสนับสนุนนะเรื่องการทำพินัยกรรม เพราะความเป็นจริงแล้ว เรามักได้ยินเรื่องมรดกเลือดอยู่เสมอ ถ้าทำพินัยกรรมไม่ชัดเจน สุดท้ายจะเป็นปัญหาภายในครอบครัว ถ้าจะทำให้ถูกต้องก็ศึกษาให้ดี อย่างที่ทนายแก้วพูดแบบต่าง ๆ ถ้าทำครบถ้วนถูกต้องไม่มีประเด็นปัญหาแน่นอน
ทนายแก้ว : พินัยกรรมบางประเทศใช้แบบอิเล็กทรอนิกส์ได้ แต่ไทยไม่สามารถเอาอีเมล์หรือข้อความส่งมายันว่าเป็นพินัยกรรมได้ ต้องตีความเคร่งครัดตามกฎหมายไทย
พี่อยากบอกอะไร?
เชิดชาย : ในเรื่องการนำเสนอข่าวตามข้อเท็จจริง อยากให้ประชาชนได้รับข้อมูลทุกด้าน ครบถ้วน แต่ไม่เคยเสนอ 100 ล้าน แต่ใช้คำว่ามหาศาล มรดกก้อนนี้ไม่เกิน 50 ล้าน อยากบอกป้าติ๋มว่าให้กำลังใจ ให้มีสติในการนำร่างผู้เสียชีวิตไปฌาปนกิจ หรือทำพิธีทางศาสนา ให้กำลังใจป้าติ๋ม
ฝากถึงทนายความคุณแคทเธอรีน ไม่อยากให้ไปว่าป้าเขาเลย ป้าบอกว่าเขาด่าแรง ขอเถอะ อย่าไปว่าป้า แกเป็นชาวบ้าน แกไม่รู้หรอก ต้องเข้าใจนะ อยู่ดี ๆ มีเพชรพลอยถล่มมาหาตัว เหมือนถูกรางวัลที่ 1 มนุษย์มีความรู้สึก พอมีนักข่าวไปถาม แกก็ตอบว่ามีการทำพินัยกรรมให้ฉัน แกพูดเท่านั้นเลย ไม่ได้พูดไปมากกว่านั้น แต่มีนักข่าวไปตามเรื่อง ไปตีประเด็นกันเอง มันเลยเป็นข่าวออกมา สุดท้ายป้าโดนด่า อยากให้พี่ทนายค่อย ๆ อธิบายให้แกฟังว่าเป็นยังไง ป้าไม่มีเจตนามาให้ข่าวหรือทำให้ตัวเองถูกว่าแบบนี้หรอก ฝากถึงทนายฝั่งคุณแหม่ม อย่าไปว่าป้าแก แกเป็นชาวบ้าน ไม่รู้เรื่องอะไรหรอก แกเป็นคนซื่อ ๆ ใครถามก็ตอบไปแบบนั้น อย่าไปว่าแก สงสาร สุดท้ายขออวยพรให้ป้าได้มรดกชิ้นนี้จริง ๆ เพราะคิดว่าป้าจะใช้มรดกชิ้นนี้ได้อย่างดีที่สุด เพราะป้าอยู่กับคุณแคทเธอรีน 17 ปี รู้ว่าคุณแคทเธอรีนว่าต้องการอะไร ป้าก็บอกว่าบ้านไม่ขาย เพราะเป็นบ้านคุณแคทเธอรีน รถก็ไม่ขับ เพราะขับไม่เป็นอยู่แล้ว และไม่ขายเหมือนกัน ฉะนั้นป้าเองก็คงสมถะแหละ อยากให้เอาไว้ดูแลชีวิตในบั้นปลายกับลูกหลาน ขอให้ได้ ขอให้พินัยกรรมในตู้เซฟออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด เป็นกำลังใจให้ป้าจริง ๆ?
ขอบคุณเนื้อหาจาก สยามรัฐวาไรตี้ https://siamrathnews.com/2024/05/04/143712/