ลิเวอร์พูล สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ภายใต้การนำของ เยอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือชาวเยอรมัน ทำผลงานได้ตามเป้าหมายหลังบุกไปเสมอกับ ฟูแล่ม ที่สนาม คราเวน คอทเทจ 1-1 ในศึก คาราวบาว คัพ รอบรองชนะเลิศ นัด 2 ส่งผลให้เข้าสู่รอบชิงฯ ด้วยสกอร์รวม 3-
ก่อนเกมจะเริ่มขึ้นเชื่อได้ว่า แฟนบอล ลิเวอร์พูล หลายคนรู้สึกกังวลอย่างมากหลังจาก “หงส์แดง” เริ่มต้นฤดูกาลนี้ด้วยชัยชนะเพียง 4 นัด จาก 10 เกมแรกที่ต้องออกไปเป็นทีมเยือน และมองย้อนกลับไปเมื่อซีซันก่อนทีมของ คล็อปป์ เก็บชัยชนะได้เพียง 9 จาก 26 นัด เมื่อออกไปเล่นนอกบ้าน
อย่างไรก็ตาม ฟอร์มการเล่นของ ลิเวอร์พูล ในปีนี้แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง หลังจากพ่ายแพ้เพียงเกมเดียวในฐานะทีมเยือน 7 เกมหลังสุด คือ เกม ยูโรปา ลีก รอบแบ่งกลุ่มนัดสุดท้ายที่ออกไปพ่าย ยูนิยง แซงต์ ชิลลัวส์ 3-2 เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา ซึ่ง “หงส์แดง” ผ่านเข้ารอบไปแล้ว 4
ขณะเดียวกัน ในเกมกับ ฟูแล่ม นั้น นักเตะ ลิเวอร์พูล หลายคนทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจ อาทิ จาเรลล์ ควอนซาห์ ปราการหลังดาวรุ่ง และ ไรอัน กราเฟนแบร์ช มิดฟิลด์มากพรสวรรค์ชาวฮอลแลนด์ ที่มีส่วนร่วมกับเกมเยอะมาก
สำหรับ ควอนซาห์ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เจ้าตัวกลายเป็นอนาคตในระยะยาวของ ลิเวอร์พูล อย่างแท้จริงหลังจากได้รับความไว้วางใจจาก คล็อปป์ ให้ลงเล่นเป็น 11 คนแรกในเกมนี้ และก็ไม่ทำให้ผิดหวังด้วยการยืนปักหลักคู่กับกัปตันทีม เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ได้อย่างแข็งแกร่งแม้จะไม่สามารถช่วยทีมเก็บคลีนชีตได้ก็ตาม
เซ็นเตอร์แบ็ค วัย 20 ปี ยังคงแสดงให้เห็นถึงความนิ่งเกินวัย และเล่นฟุตบอลอย่างฉลาดเช่นเดิม โดยทำสถิติเคลียร์บอลได้ 7 ครั้ง แย่งบอลกลับมาครองได้ 7 ครั้ง และทำไป 1 แอสซิสต์ในเกมนี้ ซึ่งไม่น่าแปลกใจที่ คล็อปป์ พร้อมจะผลักดันเขาอย่างเต็มที่
ขณะที่ กราเฟนแบร์ช ออกสตาร์ทในแผงมิดฟิลด์ร่วมกับ ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ และ อเล็กซิส แม็คอัลลิสเตอร์ แทนที่ เคอร์ติส โจนส์ หนึ่งในกองกลางที่โชว์ฟอร์มได้ดีที่สุดของทีมมีปัญหาเล็กน้อยจากอาการตึงกล้ามเนื้อในเกมกับ บอร์นมัธ
แม้ก่อนหน้านี้ กราเวนเบิร์ช จะเริ่มต้นกับ ลิเวอร์พูล ด้วยผลงานที่ยังไม่คงเส้นคงนัก แต่เกมนี้ดูเหมือนว่า ดาวเตะชาวดัตช์ เรียกจังหวะการเล่นของตัวเองกลับมา และแสดงเห็นเห็นถึงการมีส่วนร่วมกับเพื่อนร่วมทีมมากขึ้น
ลิเวอร์พูล เวอร์ชั่น 2.0 ของ คล็อปป์ ดูเหมือนจะเริ่มได้รับการปรับแต่งให้เข้าที่เข้าทางมากขึ้นแล้วหลังจากผ่านไปครึ่งซีซัน ซึ่งเห็นได้จากผลงาน 10 เกมหลังสุดในทุกรายการ นั้น พวกเขาพ่ายแพ้ไปเพียงนัดเดียวคือเกมกับ ยูนิยง แซงต์ กิลลุส
ขณะเดียวกัน ฟอร์มการเล่น 5 เกมล่าสุด ลิเวอร์พูล สามารถเก็บชัยชนะมาได้ติดต่อกันถึง 4 เกม ก่อนจะสะดุดเสมอกับ ฟูแล่ม ในนัดนี้ แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาเข้าไปสู่รอบชิงชนะเลิศเพื่อเจอกับ เชลซี ที่สนาม เวมบลีย์ ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์นี้
เมื่อมองในภาพรวมแล้ว ลิเวอร์พูล มีขุมกำลังที่แข็งแกร่ง และกำลังเล่นฟุตบอลด้วยมั่นใจสุดๆ ซึ่งมีโอกาสที่พวกเขาจะเดินหน้าเก็บชัยชนะต่อเนื่อง และไล่ล่าถ้วยรางวัลแรกของซีซันนี้มาครอบครอง
ขอบคุณเนื้อหาจาก 90min.com
https://www.90min.com/th/posts/feature-road-to-first-champions-of-new-liverpool